สาระเรื่องรถ - แบตเตอรี่
แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นแหล่งสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบต่างๆ โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 3-5 ปี แต่แบตเตอรี่มักจะเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่มักถูกมองข้ามไป กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพการใช้งานไปแล้ว
แบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บไฟฟ้าสำรอง คอยจ่ายไฟฟ้าให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆในรถยนต์ โดยแบตเตอรี่มีระบบภายในและปฏิกิริยาทางเคมีที่ซับซ้อน มีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร
แบตเตอรี่รถยนต์ 1 ลูก จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1ปีครึ่ง - 2 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งาน โดยระหว่างการใช้งานแบตเตอรี่อาจเสื่อมสภาพได้ โดยอาการแบตเตอรี่เสื่อมที่สามารถสังเกตุเห็นชัดเจนที่สุด คือรถยนต์สตาร์ทติดยาก มีเสียงดัง แชะๆ ขณะสตาร์ท และเมื่อสตาร์ทติด เสียงเครื่องยนต์ทำงานช้ากว่าปกติ โดยสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไว มีดังนี้1. เปิดไฟหน้าหรือไฟในห้องโดยสารทิ้งไว้ ทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนัก2.จอดรถทิ้งไว้นาน โดยไม่นำมาใช้งาน ขณะจอดรถทิ้งไว้ แบตเตอรี่ยังคงจ่ายไฟไปเลี้ยงระบบไฟฟ้าในรถตลอดเวลา ทำให้กำลังไฟในแบตเตอรี่อ่อนลงเรื่อยๆ3.ไดชาร์จเสื่อมสภาพ ทำให้ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่น้อยหรือมากเกินไป หรือสายพานหย่อนหรือตึงเกิดไปทำให้ประจุไฟเข้าแบตเตอรี่ได้ไม่เต็มที่4. ไฟรั่ว เกิดจากการติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ โดยช่างที่ไม่ชำนาญ หรือเป็นเพราะความประมาทในการตัดต่อสายไฟ เก็บงานไม่เรียบร้อย5.เกิดการลัดวงจรภายในของแบตเตอรี่ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนภายในของแบตเตอรี่ เป็นต้น 6. น้ำกลั่นสกปรก หรือมีสิ่งปนเปื้อนที่น้ำกลั่นหรือบริเวณจุกเติมน้ำกลั่น ก่อให้เกิดปฏิกริยาทางเคมีที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้แบตเตอรี่เก็บไฟไม่อยู่
แบตเตอรี่รถยนต์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของรถยนต์ ก่อนออกเดินทางไกลควรเช็กแบตเตอรี่รถยนต์เสียก่อน เพื่อป้องกันปัญหารถสตาร์ทไม่ติดหรืออาการกวนใจอื่นๆ ระหว่างทาง การเช็กแบตเตอรี่รถยนต์สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้1.เช็กแบตเตอรี่ว่ามีอายุการใช้งานนานเท่าไหร่แล้ว สำหรับแบตเตอรี่ที่มีอายุไม่ถึง 1 ปี มีโอกาสที่จะเสื่อมสภาพน้อยมาก ส่วนแบตเตอรี่ที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ควรได้รับการเช็กสภาพอย่างสม่ำเสมอ2.ตรวจเช็กระดับน้ำกลั่น ตามประเภทของแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่นควรเช็กทุกๆ 1 เดือน แบบกึ่งแห้งควรเช็กทุกๆ 6-12 เดือน3.เช็กสภาพแบตเตอรี่เบื้องต้นผ่านช่องตาแมวแบตเตอรี่ โดยสังเกตสีที่แตกต่างกันของช่องตาแมว แบตเตอรี่แต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะแบตที่ต่างกัน สามารถศึกษาคำอธิบายได้จากสติ๊กเกอร์บนตัวแบตเตอรีหรือหากไม่สะดวกตรวจเช็กด้วยตัวเอง แนะนำให้นำรถยนต์เข้าไปเช็กแบตเตอรี่ด้วยเครื่องวัดแบตเตอรี่ที่ศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่จะบอกสถานะของแบตเตอรี่ได้อย่างแม่นยำที่สุด เมื่อช่างทำการตรวจสอบแบตเตอรี่ด้วยเครื่องวัดแบตเตอรี่ ก็จะได้สลิปกระดาษที่บอกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับแบตเตอรี่ ดังนี้ค่าแรงดันไฟฟ้า สามารถดูจาก Volts ในเมนู Battery Test ซึ่งค่าควรมากกว่า 12 V ขึ้นไป ถือว่าแบตเตอรี่มีค่าแรงดันไฟฟ้าที่ดีค่าแรงดันสตาร์ท สามารถดูจาก Volts ในเมนู Starter Test ซึ่งค่าควรมากกว่า 10.30 V ถือว่าแบตเตอรี่มีค่าแรงดันสตาร์ทที่ดีประสิทธิภาพไดชาร์จ สามารถดูจาก Volts ในเมนู Charging Test ซึ่งค่าควรมากกว่า 13.30 V ถือว่าไดชาร์จยังทำงานได้ดีที่ บี-ควิก มีบริการตรวจเช็กแบตเตอรี่รถยนต์ ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถนำรถเข้ามาใช้บริการได้ทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-21.00 น. ที่ บี-ควิก ทุกสาขาทั่วประเทศ
แบตเตอรี่รถเสื่อมสภาพ หมายถึง แบตเตอรี่เก็บไฟไม่อยู่แล้ว หรือแบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน เมื่อแบตเตอรี่รถเสื่อมก็จะมีเรื่องน่ากวนใจตามมา คืออาการรถสตาร์ทไม่ติด เพราะฉะนั้นควรสังเกตว่าแบตเตอรี่รถของเราเริ่มเสื่อมสภาพแล้วหรือยัง โดยสามารถสังเกตได้ง่ายๆ จาก 3 สัญญาณ ดังนี้1.รถเริ่มสตาร์ทติดยาก มีเสียงดังแชะๆ ขณะสตาร์ทรถ และเมื่อสตาร์ทติดเครื่องยนต์ทำงานช้ากว่าปกติ แสดงว่าแบตเตอรี่เริ่มมีปัญหา2.เมื่อเปิดไฟหน้ารถแล้วจะไม่สว่างเหมือนปกติ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าระบบไฟฟ้าภายในรถกำลังอ่อนลง3.เมื่อกำลังไฟอ่อน ระบบอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ จะเริ่มทำงานผิดปกติ สามารถสังเกตได้จาก วิทยุ เครื่องเสียง หรือ กระจกไฟฟ้าที่ทำงานช้าลง หรือมีอาการติดๆ ดับๆโดยปกติแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน หากเลยระยะเวลาดังกล่าว ควรหมั่นเช็กสภาพความพร้อมใช้งานของแบตเตอรี่อยู่เสมอ โดยสามารถนำรถยนต์เข้ามารับบริการตรวจเช็กได้ที่ บี-ควิก ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือหากแบตเตอรี่หมดกลางทาง สามารถเรียกใช้บริการ “แบตแมน” บริการเปลี่ยนแบตนอกสถานที่ ฟรีค่าแรง (พื้นที่ให้บริการเฉพาะในเขตกทม. ระยะทางไป-กลับไม่เกิน 10 กม.) “แบตหมด แค่กดกดโทร. 1153” พร้อมให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-19.00 น.
หน้าที่หลัก 5 ข้อของแบตเตอรี่1. เป็นแหล่งเก็บและสำรองกระแสไฟฟ้า แบตเตอรี่ทำหน้าที่เก็บและสำรองกระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากไดชาร์จ หรืออัลเทอร์เนเตอร์2. จ่ายไฟตอนสตาร์ทเครื่องยนต์ แบตเตอรี่ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานจ่ายไฟให้แก่สตาร์ทเตอร์ และระบบจุดระเบิดเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์หมุนและติดเครื่องได้3. เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าสำรอง ในกรณีที่อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า ไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันในบางสถานการณ์ เช่น ตอนกลางคืนที่ใช้ไฟเยอะกว่าปกติระบบจะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้4. จ่ายไฟให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ในขณะที่ดับเครื่อง จ่ายไฟคงที่ให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์ ในขณะที่ไม่ได้สตารท์เครื่องยนต์ เช่น ไฟหน้า-หลัง แอร์ วิทยุ ระบบไฟส่องสว่างภายในรถ เป็นต้น