บี−ควิก พูดคุยแบ่งปันสาระเรื่องรถ-เรื่อง ยาง Page3

สาระเรื่องรถ - ยาง Page3

ยาง RUNFLAT คืออะไร??

ปัจจุบัน เทคโนโลยียางรันแฟลตกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยยางรันแฟลต (Run Flat) ถูกแนะนำเป็นครั้งแรก เมื่อกลางปี 1980 โดยที่ผ่านมาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บางแห่ง เช่น BMW ได้ติดตั้งเทคโนโลยีรันแฟลต (RFT) เป็นมาตรฐานสำหรับรถยนต์ ยาง Run Flatถ้าจะให้แปลแบบตรงตัวจะแปลได้ว่า ยางที่สามารถวิ่งได้ แม้ไม่มีลมยางหรือยางแบนนั่นเอง โดยยางจะถูกออกแบบให้แก้มยางและโครงสร้างมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันตัวยางหลุดออกจากขอบกระทะล้อเมื่อสูญเสียแรงดันลมยาง เพื่อให้คนขับสามารถประคองรถขับรถต่อไปได้อีกระยะและสามารถควบคุมรถได้ปลอดภัยหากเกิดเหตุการยางระเบิด เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวระบบ TPMS หรือ Tire Pressure Monitoring System ซึ่งติดมากับตัวรถจะขึ้นสถานะเตือนว่ากำลังสูญเสียแรงดันลมยาง​ยางรันแฟลต เป็นยางที่วิ่งได้แม้ไม่มีลมยาง สามารถใช้งานได้เมื่อยางรั่วซึมหรือถูกตำทะลุ จนไม่มีลมเหลืออยู่ โครงสร้างภายในของยางธรรมดา และ ยาง RUNFLATภายในยางRunflatจะต่างกับยางปกติทั่วไปที่เมื่อแบนหรือสูญเสียความดันลมยางแล้วจะไม่สามารถรับน้ำหนักของตัวรถได้อีก และจะถูกบดเสียหายหากพยายามที่จะขับขี่ต่อไปภายหลังการสูญเสียแรงดันลมยาง (เช่น เมื่อลมยางรั่ว) ยางธรรมดาโครงสร้างบริเวณแก้มยางด้านในอาจเกิดการบิดงอ หรือเปลี่ยนรูปทรง แต่ยางรันแฟลต ตัวยางบริเวณแก้มยางรับน้ำหนักของรถได้โดยไม่เปลี่ยนรูป หรือ เปลี่ยนรูปน้อยมาก เพราะบริเวณแก้มยางถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ ช่วยรักษาการทรงตัวได้ดี และ ช่วยลดอัตราความเสี่ยงของรถที่จะเกิดแรงเหวี่ยงขณะสูญเสียความดันลมยาง สามารถขับต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ยางรันแฟลต สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และระยะทางสูงสุดถึง 80ทั้งนี้ภายหลังจากการสูญเสียแรงดันลมยาง ผู้ผลิตรถยนต์อาจจะมีคำแนะนำที่เหมาะสมกับรถยนต์คันนั้น ๆ โปรดศึกษาจากคู่มือประจำรถสำหรับการใช้งาน โดยจุดเด่นหลักๆของยาง Runflat คือ• ปลอดภัย สามารถควบคุมรถและขับขี่รถยนต์ได้เมื่อสูญเสียความดันลมยาง • สะดวกสบาย ไม่ต้องเปลี่ยนยางอะไหล่วิธีสังเกต ว่าเป็นยางรถยนต์แบบรันแฟลตหรือไม่?สามารถดูได้จากตัวอักษรที่อยู่บนแก้มยาง มองหาสัญลักษณ์คำว่า“RSC”ซึ่งมาจากคำว่า“Run Flat System Component” หรือ ผู้ผลิตยางบางราย อาจจะเรียกยางประเภทรันแฟลตด้วยคำอื่นๆ เช่น “RFT” (Run-flat technology) ของ Bridgestone หรือ“SSR” (Self-Supporting Run-Flat Tire) ของ Continental เป็นต้นยางรันแฟลต ปัจจุบันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเช่น BMW หรือ Mini และไม่แนะนำให้ติดตั้งยางรันแฟลตกับรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งระบบช่วงล่างให้เหมาะสมกับแรงที่จะกระทำทั้งก่อน และ หลังการสูญเสียแรงดันลมยาง เพราะหากไม่มีการปรับแต่งระบบช่วงล่างแล้ว ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ของยางรันแฟลตอาจมีผลกระทบต่อระบบช่วงล่าง และเกิดความเสียหายให้กับตัวรถได้

เลือกดอกยาง ตามสไตล์การขับรถ ดอกยางแบบไหนที่ใช่คุณ เรามีคำตอบ

เพราะยางรถยนต์ เป็นส่วนประกอบสำคัญของรถเพียงส่วนเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนน คอยขับเคลื่อนพาเราไปยังจุดหมายปลายทาง การเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน ก็ยังช่วยให้เราขับปลอดภัยไปด้วย เราจึงจะต้องรู้ประเภทยางและเลือกยางรถให้เหมาะกับการใช้งาน ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ “ดอกยาง” ดอกยาง มีหน้าที่คอยช่วยยึดรถให้เกาะกับถนน ซึ่งดอกยางที่ดีควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 3 มิลลิเมตร และต้องเลือกให้เหมาะสมกับการขับขี่ของเรา มาดูกันว่าดอกยางแบบไหนที่ตอบโจทย์สไตล์การขับรถในแบบที่เป็นคุณ1.ดอกยางแบบสองทิศทาง (Tire - Dual)เป็นลักษณะของดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ทุกตำแหน่งของล้อรถ ลักษณะของดอกยางทั้งสองด้านจะสวนทิศทางกันจุดเด่น:ดอกยางลักษณะนี้เหมาะกับการขับขี่ทั่วไป ไม่เน้นความเร็วสูง2.ดอกยางแบบทิศทางเดียว (Rotation, Directional)ลายดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่ แก้มยางทั้งสองด้าน ดังนั้นการสลับยางจะทำได้ด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับด้านหลังขวา หรือ สลับด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้ายจุดเด่น:ดอกยางแบบทิศทางเดียว จะสามารถรีดน้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2ทิศทางป้องการอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ช่วยให้ควบคุมรถได้ดีขึ้นเมื่อเจอฝน3.ดอกยางแบบไม่สมมาตร (Asymmetric Tire)ดอกยางแบบนี้จะมีลักษณะไม่เท่ากัน ด้านใดด้านหนึ่งจะหนากว่าอีกด้าน ดอกยางประเภทนี้ จะมีลายดอกยางด้านในและด้านนอกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยางด้านในถูกออกแบบสำหรับยึดเกาะถนนในสภาวะความเร็วสูง และดอกยางด้านนอกจะทำให้หน้าที่ยึดเกาะขณะเข้าโค้ง สามารถสลับยางได้ทั้ง 4 ล้อ บนแก้มยาง โดยยางประเภทนี้จะมีคำว่า “Inside” และ “Outside” ระบุไว้ เมื่อต้องการสลับยางจะต้องเอาด้านที่มีคำว่า “Outside” ไว้ด้านนอกเสมอจุดเด่น:เหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงต้องการเข้าโค้งด้วยความปลอดภัย

ยางดี ช่วยประหยัดพลังงาน

ยางที่ดีจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการขับขี่ ให้การขับขี่นุ่มนวล ยึดเกาะถนนได้เต็มประสิทธิภาพ และรู้หรือไม่ว่า ยางรถยนต์ก็ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย

ส่วนประกอบของยางโดยน้ำหนัก ในยางรถยนต์ 1 เส้น มีอะไรผสมอยู่บ้าง

ในยาง 1 เส้นนั้นประกอบไปด้วย ผงถ่าน 28% ยางสังเคราะห์ 27% ยางธรรมชาติ 14% น้ำมัน 10% เส้นลวด 10% สารเคมี 4% เส้นใย 4% อื่นๆ 3%

เปลี่ยนยางใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

ยางรถยนต์ควรได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีตลอดการใช้งาน และควรเปลี่ยนยางเมื่อยางหมดสภาพ ไม่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ในฐานะผู้ใช้รถ มีหลายสิ่งที่ต้องคำนึงเมื่อเรากำลังเลือกซื้อยางใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนยาง และความแตกต่างของลักษณะดอกยางแต่ละประเภท ความเข้าใจเหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกยางรถยนต์ได้เหมาะสมกับรถยนต์และลักษณะการใช้ขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยมความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนยางตัวเลข 195 หมายถึง ความกว้างของหน้ายาง มีหน่วยเป็น มิลลิเมตร ยางเส้นนี้จึงมีหน้ายางกว้าง 195 มิลลิเมตรตัวเลข 60 หมายถึง ความสูงของแก้มยาง มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็น โดยเทียบจากสัดส่วนความสูงของแก้มยางต่อความกว้างของหน้ายาง ซึ่งความสูงของแก้มยางในตัวอย่างนี้ คือ 60 % ของ 195 มิลลิเมตร เท่ากับแก้มยางเส้นนี้มีความสูง 117 มิลลิเมตรตัวอักษร R หมายถึง โครงสร้างยางแบบเรเดียล ตัวเลข 15 หมายถึง เส้นผ่านศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้วการเลือกดอกยางให้เหมาะสม ดอกยางมีหน้าที่ยึดเกาะถนนและรีดน้ำเมื่อขับบนถนนเปียก เพื่อให้รถยนต์ควบคุมทิศทางได้อย่างปลอดภัย โดยดอกยางสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทตามลักษณะการใช้งาน1. ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง ลายดอกยางจะสวนทางกันทั้ง 2 ฝั่ง เหมาะสำหรับรถที่ เน้นความนุ่มนวล ขับขี่สบาย ไม่ใช้ความเร็วสูง2. ดอกยางแบบทิศทางเดียว ลายดอกยางจะมีลักษณะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีคุณสมบัติรีดน้ำได้ดีที่สุด ช่วยป้องกันการเหินน้ำ เหมาะกับรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูง 3. ดอกยางแบบไม่สมมาตร ลายดอกยางด้านในและด้านนอกจะต่างกัน มีจุดเด่นอยู่ที่ดอกยางด้านในถูกออกแบบเพื่อการยึดเกาะถนนในสภาวะความเร็วสูง และดอกยางด้านนอกถูกออกแบบเพื่อการยึดเกาะบนทางโค้ง เหมาะสำหรับขับขี่ในเมืองที่มีถนนโค้ง คดเคี้ยวมากๆ เพียงเข้าใจชุดตัวเลขบนยางและประเภทของดอกยาง คุณก็จะสามารถเลือกยางที่เหมาะสมกับคุณได้แล้ว และที่สำคัญอย่าลืมเปลี่ยนยางเมื่อยางหมด ยางแข็งหรือมีรอยแตกบริเวณยาง เพราะยางจะไม่เกาะถนนและอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ผลจากการสูบลมยาง การสูบลมยาง มากไป น้อยไป มีผลต่างกันอย่างไร?

กรณีสูบลมยางน้อยกว่ากำหนด: • อายุยางลดลง • บริเวณไหล่ยางจะสึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ • เกิดความร้อนสูงที่ไหล่ยางทำให้เนื้อยางไหม้แยกจากกัน • โครงยางบริเวณแก้มยางฉีกขาด หรือหักได้ • สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง • หน้ายางฉีกขาดง่ายที่ความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม.กรณีสูบลมยางมากกว่าเกินกำหนด: • ลื่นไถลได้ง่าย เนื่องจากพื้นที่ยึดเกาะถนน • โครงยางระเบิดง่ายเมื่อได้รับแรงกระแทก หรือถูกตำ เนื่องจากโครงยางเบ่งตัวเต็มที่ เกิดการยืดหยุ่นได้น้อย • ดอกยางจะสึกบริเวณตอนกลางมากกว่าส่วนอื่นๆ • อายุยางลดลง • ไม่สะดวกสบายในการขับขี่

career
Copyright 2019 All right reserved B-Quik.com
เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)